นาย เจ ได้นำอาวุธปืนไปยิงอดีตภรรยาที่คลินิกเสริมความงาม

สามีปืนดุ  เปิดเผย วิญาณผู้ตายมาเข้าฝัน ถามว่ามาฆ่าเขาทำไม?

 จากกรณีที่นาย เจ ได้นำอาวุธปืนไปยิงอดีตภรรยาที่คลินิกเสริมความงาม ที่บริเวณชั้น 4 กลางห้างดังแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นั้นตอนนี้ทางผู้ก่อเหตุคือนาย เจได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้เรียบร้อยแล้ว และถูกนำตัวมาที่ สถานีตำรวจพญาไท  ซึ่งหลังจากที่ได้นอนคุกที่ สน. พญาไทไปหนึ่งคืน ทางผู้สื่อข่าวก็ได้ไปสอบถามกับนาย เจ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ซึ่งนาย เจก็บอกว่า ตอนนี้ตนเองรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปมาก ที่ทำลงไปนั้นเกิดเพราะความหึงหวงที่มีต่อตัวอดีตภรรยา จึงทำให้เกิดความขาดสติ ไม่มีความยับยั้งช่างใจ จึงไปก่อเหตุเพียงเพราะเกิดเป็นอารมณ์ชั่ววูบ และตอนนี้ก็รู้สึกสำนึกผิดแล้ว ซึ่งในวันนี้ทางแม่ของนาย เจได้เดินทางมาเยี่ยมนายเจ แต่เช้าและได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ลูกชายของตนนั้นเป็นคนอารมณ์ร้อน 

แต่ตนเองก็รู้มาว่าทางลูกชายและผู้ตายได้มีปัญหากันจนมีเหตุให้เกิดเรื่องหย่าร้างกันขึ้น และหลังจากที่ทั้งคู่หย่ากันไปแล้ว ก็เห็นว่าทั้งคู่ต่างก็มีแฟนใหม่เป็นของตัวเองกันไปแล้ว แต่ลูกชายของตน ซึ่งก็คือนาย เจ มักจะมาพูดกับแม่เสมอว่า ยังรักภรรยาเก่าอยู่ และอยากจะขอคืนดีกับภรรยาเก่า

เพราะยังลืมไม่ได้ ที่สำคัญแม่นายเจ บอกว่า นายเจเคยบอกกับแม่ว่าจะไปทำร้ายภรรยาเก่าหากไม่ยอมคืนดีด้วย ซึ่งแม่ก็ได้เตือนนายเจไปว่าให้ต่างคนต่างอยู่ เพราะแม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองเป็นคนขี้โมโหง่ายและเป็นคนอารมณ์ร้อนและรุนแรง ยังเคยส่งข้อความไปเตือนภรรยาเก่าของลูกชายเลยว่าให้ระวังตัวด้วย

เพราะตอนนี้นาย เจ ยังโมโหเรื่องที่หย่ากันอยู่ ซึ่งทางแม่เองก็ไม่คิดว่าลูกชายจะมาก่อเหตุจริงจริง ทั้งนี้แม่ของนาย เจ บอกว่าหลังจากที่ลูกชายโดนจับกุมได้คุยกับลูก

โดยลูกยอมรับว่าทีทำไปเพราะอารมณ์ชั่วครู่เกิดจากความหึงเพราะตนเองยังรักคนตายอยู่มาก และยังอยากกลับมาคืนดี ตอนนี้ได้แต่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป และนายเจยังเล่าให้แม่ฟังว่า

เมื่อคืนผู้ตายมาเข้าฝัน โดยมาถามว่าทำไมต้องฆ่าเขาด้วย ยิ่งทำให้ลูกชายรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น แต่แม่ก็ได้แต่ปลอบใจลูกให้ยอมรับผลของกระทำ ส่วนเรื่องจะไปฟังพระสวดศพของคนตายหรือไม่นั้นก็ขอดูก่อนเพราะไม่มีเงินมากพอที่จะเดินทางไป

มีประกาศจากจุฬา

มีประกาศจากจุฬา ขอความสั่งห้ามไม่ให้นักศึกษาและบุคลากรของมหาลัยไปต่างประเทศจำนวน 9 ประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยง

 เมื่อวันที่ 27 เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2020 ทางมหาลัยจุฬาได้มีการประกาศอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย รวมถึงนักเรียน และนักศึกษาของมหาวิทยาลัย สามารถลาหยุดได้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ซึ่งกำลังเป็นปัญหาระดับโลกอยู่ในขณะนี้

โดยทางมหาลัยจะไม่เอาวันหยุดเหล่านี้

มานับเป็นวันลาให้เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสดังกล่าว แต่ในตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนายังคงรุนแรงขึ้นเรื่อยเรื่อย และมีคนที่ติดเชื้อมากขึ้นซึ่งยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสามารถป้องกันการแพร่เชื้อระบาดนี้ได้ ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยจึงได้เห็นสมควรว่าเพื่อเป็นการไม่ให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยรวมถึงนักศึกษาของมหาวิทยาลัยได้รับเชื้อไวรัสนี้

จึงได้มีประกาศห้ามออกมาเกี่ยวกับการเดินทางไปต่างประเทศของนักเรียน นักศึกษารวมถึงพนักงานขององค์กรมหาวิทยาลัยในช่วงนี้ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 20 เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2020 ยาวไปจนถึงวันที่ 19 เดือนเมษายนปี ค.ศ. 2020 ซึ่งในระหว่างนี้ห้ามทุกคนในองค์กรรวมถึงนักเรียน

นักศึกษาด้วยเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ตามระยะเวลาที่มีการประกาศเอาไว้ ซึ่งมีการห้ามเดินทางไปประเทศต่อไปนี้  ประเทศเกาหลีใต้ , ประเทศไต้หวัน ,ประเทศจีน, ประเทศฮ่องกง, ประเทศมาเก๊า, ประเทศญี่ปุ่น , ประเทศมาเลเซีย , ประเทศเวียดนาม และประเทศสิงคโปร์

ซึ่งทั้ง 9 ประเทศนี้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงในการติเชื้อไวรัสมาก

เพราะตอนนี้ประเทศดังกล่าวมีผู้ติดเชื้อแล้วเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีการแพร่เชื้อไวรัสกันแล้วที่สำคัญมีผู้ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มาแล้วหลายราย ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คนในองค์กรและนักเรียน นักศึกษาของมหาวิทยาลัยจะติดเชื้อไวรัสดังกล่าว จึงมีการสั่งห้ามเดินทางไปประเทศที่แจ้งมาเหล่านี้ รวมถึงหากใครที่เคยขออนุญาตที่จะเดินทางไปประเทศเหล่านี้ก่อนที่จะมีการเกิดเรื่องของการแพร่ระบาดไวรัสเอาไว้และได้รับการอนุมัติไปแล้ว

ทางมหาวิทยาลัยได้ขอความร่วมมือในการเลือนการเดินทางออกไปก่อน ซึ่งจะสามารถเดินทางไปได้หลังจากที่สิ้นสุดวันประเทศห้าม และหากใครที่มีการทำเรื่องการเดินทางไว้แล้วในการขอเลือนการเดินทางหากมีค่าใช้จ่าย สามารถนำบิลค่าใช้จ่ายมาเบิกกับทางมหาวิทยาลัยได้ตามจริง และหากใครที่ได้รับการติดเชื้อหรือแม้แต่ถูกกักตัวเพื่อหาเชื้อไวรัส

หรือมีการตรวจสอบพบว่าอยู่ในคนที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อทางมหาวิทยาลัย ขอให้บุคคลเหล่านั้นงดเข้าเรียนและเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อไปรักษาตัวเองจนกว่าจะหายดี 

แม่น้องโดมเปิดใจเล่าทั้งน้ำตา

แม่น้องโดมเปิดใจเล่าทั้งน้ำตา ฝ่ายชายโกหกลูกไม่ได้ดึงพวงมาลัยจนเป็นสาเหตุให้รถชนเสาไฟ

แม่ของเด็กชายอายุเพียง 4 ปีได้ออกมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้กับผู้สื่อข่าวฟังทั้งน้ำตาว่า ลูกชายชื่อน้องโดม นอนหลับขณะที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ได้เป็นคนแย่งพวงมาลัยจนทำให้รถเสียหลักพุ่งชนเสาไฟแน่นอน แต่ที่เกิดอุบัติเหตุก็เพราะว่าคนขับ คนขับประมาทและชอบขับรถเร็ว จนทำให้เกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้และเธอต้องเสียลูกชายไปตลอดกาล

    จากเหตุการณ์ที่มีอุบัติเหตุรถยนต์ขับชนเสาไฟฟ้าข้างถนน โดยมีคนเห็นเหตุการณ์ว่าก่อนที่รถจะชนเสาไฟนั้น รถวิ่งมาด้วยความเร็วและมีลักษณะการวิ่งแบบส่ายไปส่ายมา ซึ่งทางคนขับรถที่เป็นผู้ชายได้ออกมาบอกว่าเหตุเกิดเพราะเด็กที่นั่งในรถที่เป็นลูกติดของแฟนแย่งดึงพวงมาลัยรถ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

  ล่าสุดแม่ของเด็กชายโดมที่เสียชีวิตและเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในเหตุการณ์ของอุบัติเหตุในครั้งนี้ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวแล้วหลังจากที่เธอต้องนอนรักษาตัวเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยเธอได้เล่าให้ฟังว่า เธอและชายคนดังกล่าวกำลังคบหาดูใจกันอยู่ และเด็กชายที่เสียชีวิตคือลูกของเธอที่เป็นลูกกับสามีคนแรกทีแยกทางกันไปแล้วโดยในวันเกิดเหตุผู้ชายได้ขับรถมารับเธอกับลูกไปทำบุญไหว้พระซึ่งพวกเธอไปทำบุญกันที่วัดต้นส้นและพอทำบุญเสร็จก็ไปหาข้าวกินกันซึ่งได้มีการขับผ่านศาลหลักเมืองของจังหวัดอ่างทอง

เธอจึงได้ชวนฝ่ายชายลงไปไหว้ศาลหลักเมืองแต่ฝ่ายชายกลับลบหลู่ศาลหลักเมืองด้วยการนำธูปที่จะใช้ไหว้ไปถูกับดินและยังลบหลู่ศาลหลักเมืองด้วยการบอกให้ท่านแสดงปาฏิหารย์ให้เห็น ซึ่งหลังจากที่พวกตนทั้งสามคนไหว้ศาลหลักเมืองเสร็จเธอก็ชวนฝ่ายชายกลับบ้าน แต่ผู้ชายบอกว่าอยากอยู่ต่ออีกหน่อยจึงขับรถพาเธอและลูกไปเที่ยวที่ตลาดนัดของจังหวัดอยุธยา

แต่เธอไม่อยากเที่ยว จึงไม่ยอมลงจากรถและไม่พูดกับฝ่ายชายเพราะโกรธ ทำให้ฝ่ายชายต้องพาเธอกลับมาบ้านแต่ระหว่างทางฝ่ายชายขับรถมาด้วยความเร็วเพราะต้องการให้เธอกลัว ซึ่งในตอนนี้น้องโดมนอนหลับบนตักขอตนเองอยู่ จึงไม่ใช้น้องโดมที่เป็นสาเหตุให้รถพุ่งชนเสาไฟ แต่เป็นความประมาทของคนขับเองที่พยายามขับรถเร็วและส่ายและสุดท้ายเปลี่ยนเลนกะทันหันไปเจอกับรถสิบล้อทำให้ต้องหักหลบจนไปชนกับเสาไฟจนเป็นเหตุให้น้องโดมเสียชีวิตเพราะกระเด็นออกมานอกรถ

เตือนภัยสำหรับใครที่คิดจะไปเที่ยวประเทศเวียดนาม

ข่าวคนไทยไปเที่ยวประเทศเวียดนามโดนตบเพราะไม่ให้คนเวียดนามแซงคิว

      มีการเตือนภัยสำหรับใครที่คิดจะไปเที่ยวประเทศเวียดนามให้ระวังคนเวียดนามผ่านสังคมออนไลน์ โดยมีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นคนโพสต์ข้อความแจ้งเตือนภัยดังกล่าว สืบเนื่องจากจากที่เธอและแฟนรวมกับเพื่อนเพื่อนได้มีโอกาสไปเที่ยวทีประเทศเวียดนามในวันหยุดที่ผ่านมาซึ่งเธอบอกว่าเธอและครอบครัวรวมถึงเพื่อนเพื่อนได้ไปเที่ยวจุดที่ให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายภาพซึ่งสถานที่ที่ไปนั้นชื่อหมู่บ้านดาลัด พวกเธอจะไปเยี่ยมชมวิธีการทำเครื่องปั้นดินเผาและแถวนั้นมีที่ให้ถ่ายรูปโดยต้องไปถ่ายกันบริเวณกลางสะพานและเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามนักท่องเที่ยวทุกคนจึงต่อแถวเพื่อจะได้เดินไปถ่ายเดี่ยวเดี่ยวกัน

ซึ่งเธอและครอบครัวและเพื่อนของเธอก็พากันยืนต่อแถวรอไปถ่ายรูปกันอยู่ จู่จู่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาแซงคิวเธอทำให้เธอไม่พอใจ ต่อว่าหญิงคนนั้นออกไปทันที่โดยบอกว่าไม่ให้แซงคิวให้ไปต่อแถวเหมือนกับคนอื่นอื่น แต่หญิงคนนั้นตอนกลับมาเป็นภาษาเวียดนามซึ่งเธอไม่ค่อยเข้าใจแต่จับใจความได้แค่ว่าหญิงเวียดนามคนนั้นด่าเธอและเพื่อนเพื่อนว่าเป็นเพียงแค่นักท่องเที่ยว

ควรจะไปยืนรอคนเวียดนามสามารถถ่ายได้เลย แถมหญิงเวียดนามคนดังกล่าวยังได้ไล่เธอและเพื่อนเพื่อนให้ออกจากจุดถ่ายรูปซึ่งพวกเธอไม่อยากมีเรื่องจึงไปต่อแถวแล้วให้หญิงเวียดนามคนนั้นไปถ่ายรูป ซึ่งหลังจากที่เขาถ่ายรูปแล้วและเป็นคิวของเธอและเพื่อนเพื่อนกำลังถ่ายรูปกันอยู่ อยู่ดีดีหญิงเวียดนามคนเดิมก็เดินเข้ามาหาเรื่องอีกรอบโดยบอกว่าให้เธอของโทษที่พูดจาไม่ดีใส่

แต่เธอและเพื่อนเพื่อนมองว่าตัวเองไม่ผิดจึงไม่ยอมขอโทษ ซึ่งก็ได้โต้เถียงกับหญิงเวียดนามไปว่าคนเวียดนามสิที่ต้องขอโทษเพราะมาแซงคิวทำให้หญิงคนดังกล่าวไม่พอใจ ทำการเอาน้ำที่ถืออยู่สาดมาที่ใบหน้าของเธอและจิ๊กหัวเธอพร้อมกับตบหน้าเธออีกด้วย

ซึ่งเธอเองก็สู้ แต่ก็สู้แรงของหญิงเวียดนามไม่ค่อยได้จึงได้บาดแผลมาค่อยข้างเยอะ ซึ่งระหว่างที่กำลังตบตีกันนั้นได้มีไกด์ที่พานักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่นี่อยู่ด้วยจึงได้เข้ามาช่วยเคลียร์ให้แต่ก็ตกลงกันไม่ได้จึงได้พากันไปที่สถานีตำรวจของประเทศเวียดนาม แต่เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สามารถทำอะไรได้

บอกแต่เพียงว่าหากต้องการเอาเรื่องหญิงคนดังกล่าวต้องส่งเรื่องขึ้นศาลซึ่งต้องใช้เวลาหลายวันแต่พวกเธอมาเที่ยวไม่กี่วันจึงไม่อยากเสียเวลา สรุปจึงทำอะไรหญิงคนนั้นไมได้ ดังนั้นเธอจึงฝากเตือนคนที่จะไปเที่ยวว่าหากคนเวียดนามจะแซงคิวก็ปล่อยไปเพราะหากมีเรื่องกันตำรวจก็ช่วยเราไม่ได้

พบศพสาว 2 ตายคาห้องพักภายในบ้าน

สาวประเภทสองนอนตายในห้องไม่มีใครรู้พบอีกทีกลายเป็นศพนอนเปลือยช่วงล่างเลือดทะลักทั้งปากและตูด

   เกิดเหตุพบศพสาว 2 ตายคาห้องพักภายในบ้าน สภาพศพเปลือยด้านล่าง แถมยังมีเลือดออกทั้งทางปากและทางตูดอีกด้วย  ด้านญาติของคนเสียชีวิตคิดว่าอาจจะโดนทำร้ายจนกระอักเลือดตาย เพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผู้ตายไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วโดนรุมกระทืบ ซึ่งผู้ตายได้แจ้งความเอาไว้แล้ว แต่เรื่องยังไม่ไปถึงไหน เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดปทุมธานี

โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปยังสถานที่เกิดเหตุพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยและหมอของโรงพยาบาล และเมื่อเดินทางไปถึงจุดเกิดเหตุพบว่า ผู้เสียชีวิตนอนตายอยู่ในบ้านหลังหนึ่งลักษณะเป็นทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียว  ซึ่งภายในห้องที่เกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปพบศพวัยรุ่นชายอายุประมาณ 18 ปี ซึ่งทางครอบครัวของผู้ตายบอกว่า ตัวผู้ตายเองเป็นสาวประเภทสอง

เมื่อหมอเข้าไปชันสูตรศพพบว่ามีการตายมาแล้วไม่น้อยกว่า 8-12 ชั่วโมงแต่อาจจะต้องนำตัวไปผ่าพิสูจน์ต่อที่โรงพยาบาล เบื้องต้นทางพบว่าคนตายไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายและภายในห้องทีเกิดเหตุก็ไม่มีการต่อสู้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าตามร่างกายของศพจะมีร่องรอยเขียวช้ำเป็นจำนวนมาก

ซึ่งร่องรอยที่ว่านี้ทางเพื่อนของคนตายได้เล่าให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่า เกิดจากว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตนเองและคนตาย ได้ไปเที่ยวที่ผับแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเวลาคนตายไปเที่ยวจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงและมีหน้าตาดี ซึ่งวันที่ไปเที่ยวคนตายได้เต้นโชว์ภายในผับ และมีคนสนใจคนตายหลายคน ทำให้สาวสาวเจ้าถิ่นเกิดความไม่พอใจจึงได้เดินมาหาเรื่องและทะเลาะตบตีกันแต่สาวเจ้าถิ่นสู้พวกตนไม่ไหวจึงได้ไปตามเพื่อนมาเพิ่มประมาณ 20คนแล้วช่วยกันรุมทำร้ายคนตายจนได้รับบาดเจ็บจนสลบไป ซึ่งหลังจากมีเรื่องพวกตนกับคนตายก็ไปแจ้งความที่ สน. จังหวัดนนทบุรี

แต่เรื่องก็เงียบเพราะตำรวจบอกว่าให้พวกตนไปหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิดมาเอง ส่วนทางบ้านของผู้ตาย ยายเป็นคนทีพบศพคนแรก เล่าว่าเห็นผู้ตายไม่ตื่นมากินข้าวสักทีเพราะรอจนถึงบ่ายสามแล้วจึงได้เข้าไปเรียก แต่เมือเข้าห้องมาก็เจอกับภาพที่หลานชายนอนอยู่บนทีนอนแล้วมีเลือดออกปากและตูดแถมยังเปลือยช่วงล่าง ยายจึงเป็นคนไปหาผ้ามาปิดเอาไว้แล้วไปเรียกพ่อกับแม่ของคนตายมาดู และจึงทำการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว ซึ่งในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงหาสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ 

กระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์

ข่าวมนุษย์ป้าสั่งข้าวมากินแล้วไปขอเงินคืนกับแม่ค้า อ้างไม่อร่อย

    กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์เป็นอย่างมากกับคลิปวีดิโอที่มีผู้ใช้งาน FaceBook รายหนึ่งได้ออกมาโพสต์เล่าเรื่องราวทีตนเองได้เจอมา ซึ่งในคลิปจะเห็นภาพหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินไปที่เคาเตอร์ของร้านอาหารในห้างแห่งหนึ่งและมีการพูดคุยกับพนักงานสักพักก็เอาตะเกียบเอาสิ่งของปาใส่พนักงาน ซึ่งเมื่อนักข่าวได้ลงไปสอบถามกับพนักงานคนที่นำเรื่องราวมาโพสต์นั้น

ทางพนักงานได้ให้ข้อมูลว่า ที่นำเรื่องราวออกมาโพสต์เพราะต้องการเตือนร้านค้า ร้านอื่นอื่นว่าหากเจอลูกค้าคนนี้ให้ระวังเอาไว้เพราะเขามีพฤติกรรมแปลกแปลก ที่หลายร้านเจอกันมาแล้ว ซึ่งวันที่เกิดเหตุหญิงวัยกลางคนในภาพได้เข้ามาสั่งก๋วยเตี๋ยวกิน ซึ่งเมือกินเข้าไปได้ครึ่งถ้วยแล้ว เธอเดินมาบอกกับพนักงานว่าขอเปลี่ยนก๋วยเตี๋ยวเพราะไม่อร่อยจะให้ทำให้ใหม่

ซึ่งพนักงานปฏิเสธเธอจึงขอเงินคืนโดยให้เหตุผลว่าอาหารไม่อร่อย

แต่พนักงานไม่สามารถคืนเงินให้เธอได้เพราะเธอกินอาหารจนจะหมดจานไปแล้ว หากไม่อร่อยควรรีบนำมาเปลี่ยนหรือนำมาคืนตั้งชิมไปครั้งแรก แต่นี่กินจนจะหมดแล้วค่อยมาติดต่อขอคืนจึงไม่สามารถคืนเงินให้ได้ทำให้เธอไม่พอใจซึ่งเมื่อมีการพูดคุยกันกับพนักงานคนอื่นอื่นทำให้ได้รู้ว่าหญิงคนดังกล่าวไม่ได้ทำแบบนี้เป็นครั้งแรก เธอทำมาแล้วหลายครั้งและโดนกันมาแล้วหลายร้านซึ่งครั้งก่อนหน้าก็เป็นการสั่งข้าวกล่องมากกินแล้วพอกินได้ครึ่งกล่องก็มาขอคืนเงิน โดยให้เหตุผลว่าทางร้านทำข้าวกล่องไม่อร่อย

ซึ่งในครั้งนั้นทางร้านค้าได้ทำเรื่องคืนเงินให้เข้าใจว่าเธอคงคิดว่าร้านอื่นอื่นก็จะทำให้จึงได้ทำการก่อเหตุซ้ำ  ทำให้พนักงานร้านต้องนำคลิปออกมาโพสต์เพื่อเตือนภัยร้านค้าอื่นอื่นให้ระวังหญิงคนดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าหญิงคนทีก่อเหตุขอเงินคืนได้มีการกระทำการทั้งที่

ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขา บางนา และที่ห้างสรรพสินค้า สาขาเซ็นจูรี่ อ่อนนุช ซึ่งลักษณะการกระทำของเธอคล้ายกันคือกินยังไม่หมดแล้วจะขอเงินคืน ซึ่งต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตามหญิงสาวคนนี้มาตรวจสอบ และเมื่อสอบถามไปยังแม่ของหญิงคนดังกล่าวก็ได้ความว่าหญิงคนดังกล่าวมีอาการทางประสาทต้องกินยาเป็นประจำคาดว่าลูกคงไม่ได้กินยา

จึงได้ไปก่อเหตุดังกล่าวขึ้น ซึ่งเมื่อมีข่าวออกมาปรากฏว่าเธอไม่ได้สร้างปัญหาให้กับร้านค้าเท่านั้น กับคนขับแท็กซี่เธอก็นั่งรถแล้วไม่ยอมจ่ายเงินค่าแท็กซี่อีกด้วย ซึ่งโดนกันมาหลายคันแล้ว 

สาวทอมไลฟ์สดโชว์ตบแฟนผ่านทาง Facebook

สาวทอมไลฟ์สดโชว์ตบแฟนผ่านทาง Facebook เพื่อนเห็นทนไม่ไหวแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ

   ตอนนี้มีคลิปวีดิโอคลิปหนึ่งที่ผู้คนในโลกออนไลน์ต่างก็พยายามช่วยกันแชร์และหาพิกัดของสถานที่ในคลิปว่าอยู่ที่ไหนเพื่อที่จะต้องการประสานงานให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปช่วยเหลือบุคคลที่อยู่ในคลิปได้ สืบเนื่องมาจากในคลิปวีดิโอดังกล่าวเป็นการอัดคลิปจากสาวทอมรายหนึ่งที่ได้ไลฟ์สดการทำร้ายแฟนของตัวเองลงเฟสบุ๊ก

ซึ่งเพื่อนเพื่อนในเฟสของสาวทอมเห็นแล้วทนไม่ได้จึงได้ทำการอัดคลิปวีดิโอที่สาวทอมกำลังทำร้ายแฟนแล้วแชร์ส่งต่อต่อกันไปเพื่อให้คนที่รู้จักสถานที่ดังกล่าวช่วยแจ้งพิกัดว่าเหตุการณ์ในคลิปนั้นเกิดขึ้นที่ไหน เพื่อที่จะได้ประสานงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปช่วยเหลือหญิงสาวคนที่ถูกทำร้ายได้ทันก่อนที่หญิงสาวคนนั้นจะบาดเจ็บไปมากกว่าที่เห็นในคลิป

เพราะหลายคนที่เห็นคลิปต่างก็กลัวกันว่าผู้หญิงคนที่โดนทำร้ายอาจจะเสียชีวิตได้ โดยคนที่ทำการอัดคลิปแล้วนำมาแชร์เพื่อจะช่วยเหลือผู้หญิงในคลิปได้เล่าให้นักข่าวฟังว่า ตนเองเห็นว่าเฟสบุ๊กของทอมรายนี้กำลังไลฟ์สดจึงได้เข้ามาดูแล้วก็เห็นว่าทอมกำลังทำร้ายผู้หญิงอยู่ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นมีเลือดเต็มไปหมดและยังได้ส่งเสียงร้องไห้ร้องขอชีวิตจากสาวทอมที่กำลังทำร้ายแต่ดูเหมือนว่าทอมคนดังกล่าวจะไม่สนใจและยังคงทำร้ายอยู่ ตนเองเกรงว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ผู้หญิงคนนั้นต้องตายแน่นอนจึงได้ทำการอัดคลิปวีดิโอเอาไว้เป็นหลักฐาน

เพื่อส่งต่อให้ตำรวจได้เข้าไปช่วยเหลือหญิงสาวในคลิป

แต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในคลิปนั้นอยู่ที่ไหน จึงได้ส่งข้อความแชร์ออกไปเพื่อให้พลังของชาวโซเชียวช่วยกันหาที่อยู่จะได้เข้าไปช่วยหญิงสาวคนนั้นได้ทันก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป แต่ในตอนนี้เท่าที่ตรวจสอบสาวทอมคนดังกล่าวได้ปิดเฟสบุ๊กหนีไปแล้วจึงทำให้ไม่สามารถหาที่อยู่ตามในคลิปได้ว่าอยู่ที่ไหน

ซึ่งหลายคนได้เข้ามาให้ข้อมูลว่าสาวทอมคนนี้เป็นคนจังหวัดอะไร แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เพราะมีคนแจ้งเข้ามาว่าสาวทอมคนดังกล่าวปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่จังหวัดบ้านเกิดแต่มาหางานทำที่จังหวัดอื่น ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าที่จังหวัดไหน ทำให้ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยเหลือหญิงสาวคนดังกล่าวได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนนี้หญิงคนดังกล่าวจะเป็นอย่างไรบ้าง สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้คงต้องรอดูกันว่าจะมีใครสามารถช่วยเหลือหญิงสาวคนดังกล่าวได้หรือไม่

พระ-สีกา นัวกันติดอยู่กุฎีโดนจับฉี่ติดสารเสพติด

จากข่าวสารที่สำนักข่าวกระปุกดอทคอมรายงานตอนวันที่ 20 พ.ย. พุทธศักราช2562

 

เรื่องของตำรวจบุกจับกุมตัวพระที่มั่วเสพสารเสพติด และก็ในวันที่ไปจับนั้นก็ได้เจอกับหญิงอยู่ในกุฎีของพระด้วยเมื่อมีการสืบสวนกันพบว่า เพศหญิงคนมีชื่อเสียงกล่าวเป็นแฟนของพระ คบค้าสมาคมกันมานานกว่า 3 ปีแล้ว โดยรู้จักกันผ่านทาง facebook แล้วก็ทางหญิงก็ได้มานอนพักพร้อมด้วยเสพยาด้วยกันกับพระที่กุฎีนี้มานานกว่า 2 อาทิตย์แล้ว

เหตุกำเนิดที่วัดในจังหวัดหนองบัวลำภูเขา ด้วยเหตุว่ามีราษฎรไปแจ้งกับฝ่ายปกครองจังหวัดว่า ทุกคืนจะมีวัยรุ่นขับขี่รถเข้าออกวัดทั้งคืน สงสัยว่าจะมีการรวมตัวกันกระทำความผิด เมื่อมาการแจ้งเรื่องทางข้าราชการก็เลยได้เข้ามาตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดจริง ก็เลยมีการจับพระศึกรวมทั้งมีการฟ้องกับพระแล้วก็สีกาครั้งอยู่ร่วมกันเพราะเหตุว่ามีการตรวจเจอฉี่สีม่วงทั้งสอง ในความเป็นจริงแล้วปัญหาพระมั่วสีกา เสพยาขยัน มีมานานมากแล้ว

แต่ว่าปราบไม่เคยหมดสักครั้ง บางครั้งบางคราวเป็นข่าวแต่ว่าบางทีก็ไม่เป็นข่าว จริงๆแล้ววัดนับว่าเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สมควรไปปฏิบัติไม่ดีในวัด หมดทั้งตัวพระเองที่ยังตัดขาดจากทางโลกมิได้ ยังมีการเล่นอีกทั้งเฟส จีบสาว สุมหัวข้องเกี่ยวกับสารเสพติด แล้วก็ทางหญิงเองก็ปราศจากความหวาดกลัวในบาป สามารถมานอนกับพระในวัดได้ แทนที่จะคิดได้

แต่ว่ากล่าวถึงว่าเนื่องจากว่าความรักก็เลยตกลงใจทำแบบนี้ คำกล่าวอ้างนี้ เป็นคำกล่าวอ้างของคนเห็นแต่ได้ ไม่มีสมอง ปราศจากความกลัวในเวรกรรม พวกเราจะหาทางกำจัดพวกคนทุจริต มารศาสนา พวกนี้ได้เช่นไร ในเมื่อผู้กระทำผิดอีกทั้งชายและก็หญิงพร้อมใจกันสำหรับการทำไม่ดี ถ้าหากว่าไม่มีใครกันแน่มองเห็นแล้วนำเรื่องมาเผย คนพวกนี้ ก็จะยังคงอาศัยวัดเป็นที่กระทำความผิด เป็นที่พักผ่อน และก็อาศัยความใจดีของคนไปทำบุญทำทาน ใส่บาตร เขาพวกเขามีเงินใช้เอามาซื้อยาเสพติดได้อีกด้วย 

ด้วยเหตุดังกล่าวถ้าหากอยากได้ให้สังคมไทย น่าอยู่เราทุกคนจะต้องช่วยเหลือกันดูแล ว่ามีผู้ใดที่ประพฤติน่าสงสัยไหม มีคนไหนกันแน่ที่ราวกับจะกระทำตนเป็นมารศาสนา อาศัยความเชื่อของประชาชนมาทำไม่ดีหรือเปล่า ถ้าพบเจอคนกระทำความผิดแล้วปล่อยไปเฉยๆประเทศและก็พุทธ คงจะเสื่อมถอยเข้าวันใดวันหนึ่ง ถ้าต้องการให้สังคมไทยของพวกเราปราศจากสิ่งเสพติด ถ้าหากมีเค้าเงื่อนควรจะแจ้งตำรวจให้มาตรวจตรา อย่าทำให้ผู้ที่กระทำความผิดทำไม่ดีอีก