บทเรียนราคาแพง กู้หนี้ กยศ.

บทเรียนราคาแพง กู้หนี้ กยศ. ติดหนี้เพียงแค่หมื่นเจ็ดพันบาท กลับถูกยึดบ้านราคาสองล้าน

       สำหรับใครที่เคยเป็นลูกหนี้ของ  กยศ. ซึ่งการเป็นหนี้ของ กยศ. จะเป็นการปล่อยเงินกู้ให้กับเหล่านักเรียนนักศึกษาที่ต้องการนำเงินดังกล่าวนั้นไปทำการศึกษาต่อในระดับชั้นชาตรีหรือในระดับชั้นอาชีวศึกษาซึ่งการกู้ของนักเรียนนักศึกษานั้นสามารถทำได้โดยจะต้องมีการเซ็นค้ำประกันซึ่งคนที่เซ็นค้ำประกันนั้นจะเป็นพ่อแม่พี่น้องหรือเครือญาติ

หรือคนที่เรารู้จักก็ได้โดยในปัจจุบันนี้มีนักเรียนนักศึกษาที่ทำเรื่องขอกู้เงินกับทาง กยศ. เพื่อไปเป็นค่าเล่าเรียนนั้นเป็นจำนวนมากแต่ก็มีเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกันที่เมื่อมีการกู้เงินและได้เงินไปร่ำเรียนหนังสือจนจบแล้วกลับไม่มีการนำเงินมาใช้หนี้คืนกับทาง กยศ. ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการประกาศออกไปติดตามเรื่องการทวงหนี้หลายครั้ง

แต่ส่วนใหญ่นั้นก็จะมีการเพิกเฉยหลังจากที่ไม่มีการใช้หนี้ทาง กยศ. ว่าจะมีการติดตามทวงหนี้จากคนที่ค้ำประกันซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากคนค้ำประกันไม่มีการนำยอดหนี้มาชำระก็จะถูกดำเนินคดีตามหมายศาลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเธอนั้นอายุ 38 ปีเธอบอกว่าเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว

เธอได้มีการกู้เงินกับทาง กยศ. มาจำนวนหนึ่งเพื่อที่จะทำการจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนของเธอซึ่งในขณะนั้นเธอเรียนอยู่ในระดับอาชีวศึกษาอย่างไรก็ตามเมื่อเธอมีการเรียนจบและทำงานเธอก็มีการผ่อนใช้หนี้กับทาง กยศ. เรื่อยมาจนในช่วงหลังๆนั้นเธอมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของทางด้านการเงินและเธอต้องย้ายที่ทำงานไปอยู่ต่างจังหวัดเธอจึงไม่ได้ผ่อนจ่ายกับทาง กยศ. อีกเลย

ซึ่งแน่นอนว่ายอดเงินที่เธอมีการค้าคงเหลือกับทาง กยศ.  เป็นเงินเพียงแค่หนึ่งหมื่นเจ็ดพันบาทเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามเธอได้มีการออกมาร้องเรียนกับทางผู้จัดการขอให้ช่วยเธอประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ของสารเนื่องจากว่าจำนวนเงินที่เธอติดค้างนั้นค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับการที่ทางศาลนั้นได้อนุมัติให้มีการยึดทรัพย์สินของเธอไป

ซึ่งทรัพย์สินของดังกล่าวนั้นไม่ใช่ของเธอโดยตรงแต่เป็นพ่อของเธอโดยเธอระบุว่าตอนที่เธอยื่นเรื่องขอกู้เงินเธอไม่ได้ให้พ่อเธอเซ็นคำประกันแต่คนที่เซ็นค้ำประกันนั้นคือแม่ของเธอซึ่งแน่นอนว่าในขนาดนั้นพ่อกับแม่ของเธอนั้นสมรสกันในปัจจุบันนี้พ่อกับแม่เธอนั้นมีบ้านกันคนละหลังดังนั้นศาลอาญาอนุมัติหมายยึดบ้าน

ซึ่งเป็นบ้านของพ่อเธอแต่ไม่ได้ยินเป็นการยึดบ้านของแม่เธอซึ่งเป็นอีกหลังหนึ่งโดยสารนั้นเลือกที่จะยึดบ้านหลังที่มีราคาแพงที่สุดซึ่งมีแล้วค่าถึง 2 ล้านบาทในขณะที่เธอเป็นหนี้แค่เพียงหมื่นกว่าบาทเท่านั้นทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจกับการจัดการของศาลในครั้งนี้เพราะเธอนั้นไม่ได้รับหมายศาลเกี่ยวกับเรื่องของการติดตามให้ไปชำระหนี้

แต่อย่างใดอยู่ๆเธอก็ได้รับหมายศาลว่าจะทำการยึดบ้านดังนั้นเธอมองว่าการจัดการแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับประชาชนจึงอยากให้นักข่าวนั้นได้ทำข่าวเพื่อที่จะหาแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้ต่อไปอย่างไรก็ตามเบื้องต้นทางหญิงสาวได้มีการเข้าไปร้องเรียนกับทางศูนย์ดำรงธรรมของจังหวัดให้มีการเข้ามาช่วยเหลือในครั้งนี้เบื้องต้นแล้ว

 

สนับสนุนโดย  letou

แม่ค้าหัวร้อนไล่ลูกค้าออกจากร้านเพียงเพราะลูกค้าถามว่าน้ำสลัดมีเห็ดไหม

               ที่จังหวัดเชียงใหม่กำลังมีการแชร์ Facebook กันจนเป็นข่าวครึกโครมเนื่องจากว่าหลายคนรับไม่ได้กับพฤติกรรมของแม่ค้ารายหนึ่งที่ขับไล่ลูกค้าออกนอกร้านเพียงแค่ลูกค้าถามว่าในน้ำสลัดนั้นมีส่วนผสมของเห็ดหรือไม่สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้เจ้าของ Facebook ที่นำเรื่องราวมาลงนั้นได้มีการระบุว่าเหตุเกิดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 เดือนมิถุนายนปีพศ 2563

โดยหญิงสาวได้เล่าว่าเธอเป็นคนเชียงใหม่เลยบ้านของเธอนั้นอยู่แถวบริเวณขนส่งสายใหม่แต่เนื่องจากว่าเธอเคยไปรับประทานอาหารร้านนึงอยู่บ่อยๆรสชาติอาหารนั้นอร่อยมากซึ่งร้านดังกล่าวนั้นจะอยู่ไกลจากบ้านของเธอพอสมควรต้องขับรถไปและด้วยความที่ร้านอาหารนั้นตรงอาหารอร่อยถึงแม้ว่าแม่ค้าจะค่อนข้างหน้าตาไม่รับแขกก็ตามแต่เธออยากให้แม่ของเธอนั้นได้ทานอาหารอร่อยเธอจึงได้ชวนแม่ของเธอไปทานอาหารร้านดังกล่าว

ซึ่งเมื่อเดินทางไปถึงเธอก็ได้สั่งอาหารประมาณ 2-3 อย่างแต่แม่ค้าก็ออกมาบอกว่าอาหารที่เธอสั่งนั้นหมดแล้วทำให้เธอถามกลับไปว่ายังมีอะไรเหลือพอที่จะสามารถสั่งได้บ้างซึ่งแม่ค้าก็ทำสีหน้าไม่พอใจ และยังบอกอีกว่าสั่งได้หมดเดินน้ำเสียงของแม่ค้านั้นพูดด้วยน้ำเสียงและกิริยาท่าทางไม่พอใจแสดงออกด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงแต่ถึงกระนั้นเธอก็เข้าใจดีว่าแม่ค้าเป็นคนบุคลิกนิสัยแบบนั้นเพราะมาทานที่นี่บ่อยจึงได้บอกให้แม่ของเธอนั้นใจเย็นๆอย่างไรก็ตามเธอได้สั่งสลัดให้กับแม่ของเธอทาน

โดยเธอนั้นได้มีการถามแม่ค้าเกี่ยวกับเรื่องของน้ำสลัดว่ามีส่วนผสมของเห็ดหรือไม่เนื่องจากแม่ของเธอนั้นเป็นคนแพ้เห็ดแต่แม่ค้ากับแสดงกิริยาไม่พอใจกรี๊ดออกมาดังๆแถมยังไล่เธอกับแม่ของเธอให้ออกนอกร้านโดยบอกว่าไม่ให้กลับมากินอาหารที่ร้านนี้อีกและถ้าไม่พอใจก็ให้ถ่ายคลิปวีดีโอนำไปเผยแพร่ได้เลยเจ้าของร้านบอกว่าเธอไม่ สนใจซึ่งในคลิปวีดีโอที่เธอถ่ายมาแชร์อยู่นั้น

จะเป็นคำพูดที่ค่อนข้างไม่สุภาพเลยเธอบอกว่าก่อนหน้าที่จะถ่ายวีดีโอนี้แม่ค้าแสดงกิริยาและคำพูดที่แย่กว่านี้อีกเนื่องจากว่าเธอนั้นตกใจกับพฤติกรรมของแม่ค้าที่อยู่ๆก็ขึ้นมาทำให้เธอไม่ได้ถ่ายตั้งแต่ต้นแต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่มีการแชร์ข้อความนี้ออกไปก็ทำให้มีคนพูดถึงร้านนี้กันมากโดยมองว่าแม่ค้านั้นทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับลูกค้าเพราะอันที่จริงแล้ว

ใครใครก็สามารถที่จะสอบถามเรื่องของส่วนผสมของอาหารได้โดยเฉพาะคนที่แพ้อาหารจำเป็นที่จะต้องมีการเช็คก่อนว่าอาหารที่กินเข้าไปนั้นมีส่วนผสมที่จะทำให้ตนเองแพ้หรือไม่เพราะถ้าหากกินเข้าไปก็อาจจะทำให้มีอาการแพ้กำเริบและอาจตายได้เพราะฉะนั้นสิ่งที่หญิงสาวคนดังกล่าวได้มีการนำมาโพสต์ Facebook ก็หวังเพื่อที่จะระบายความรู้สึกอึดอัดใจที่เธอนั้นได้ไปพบเจอมาโดยเธอยังระบุอีกว่าเธอจะไปร้านนั้นเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นเพราะเธอรับไม่ได้กับพฤติกรรมที่แม่ค้าขับไล่เธอและแม่ของเธอออกนอกร้าน

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนันออนไลน์ แจกเครดิตฟรี ไม่ต้องฝาก 2020

โซเชียลระบุ เมื่อมีคลิปดราม่ากุ้งอบวุ้นเส้นเค็มแล้วเจ้าของร้านไม่พอใจคว่ำโต๊ะทันที

           กำลังเป็นกระแสร้อนแรงในโลกออนไลน์เมื่อมีผู้ใช้ Facebook คนหนึ่งได้มีการโพสต์คลิปวิดีโอเป็นข้อความที่เธอนั้นกำลังทะเลาะวิวาทกับเจ้าของร้านขายอาหารแห่งหนึ่งโดยระบุว่าร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านอาหารเก่าแก่ซึ่งเธอกินมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเธอเลยทีเดียวโดยในวันที่เกิดเหตุนั้นคือวันที่ 20 เดือนมิถุนายนปีพศ2563 ซึ่งในคลิปวีดีโอนั้น

จะเห็นว่าเธอมีปากเสียงกับทางเจ้าของร้านผู้ชายและทางด้านเจ้าของร้านก็ไม่พอใจอย่างรุนแรงจึงได้มีการล้มโต๊ะที่เธอกำลังกินข้าวอยู่อย่างไรก็ตามเธอได้มีการเขียนบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเจ้าของร้านว่าในวันดังกล่าวนั้นเธอได้ไปกินอาหารที่ร้านอาหารดังกล่าวโดยเธอนั้นมีการสั่งกุ้งอบวุ้นเส้นมากินโดยสารทั้งหมด 2 หม้อด้วยกัน

ซึ่งระบุว่าหม้อแรกนั้นรสชาติอร่อยปกติดีทุกอย่างแต่อีกหม้อนึงนั้นเธอมีความรู้สึกว่ากุ้งอบวุ้นเส้นค่อนข้างเข้มมากจนเกินไปเธอจึงได้เรียกเจ้าของร้านซึ่งเป็นผู้หญิงมาคุยเกี่ยวกับเรื่องของความเค็มของกุ้งอบวุ้นเส้นอีก 1 หม้อโดยเจ้าของร้านผู้หญิงบอกกับเธอว่าสำหรับกบกุ้งอบวุ้นเส้นหม้อที่เค็มนั้นทางร้านจะไม่คิดเงินและได้ขอโทษโดยระบุว่าอาจจะเป็นที่ซอสหอยเนื่องจากว่าซอสแต่ละยี่ห้อนั้นรสชาติไม่เหมือนกันซึ่งเธอก็ไม่ได้ติดใจอะไรซ้ำยังบอกกับทางเจ้าของร้านด้วยว่าเธอยินดีที่จะจ่ายเงินไปอย่างไรก็ตามทางเจ้าของร้านได้มีการเตรียมห่อกุ้งอบวุ้นเส้นจายที่เค็มนั้น

กลับมาให้เธอเพื่อให้เธอนั้นเอากลับไปกินบ้านซึ่งระหว่างนั้นเธอก็ปรึกษากับแฟนของเธอว่า  เธอจะจ่ายค่ากุ้งอบวุ้นเส้นการที่เค็มแค่เพียงครึ่งราคาเท่านั้นเพราะเธอคิดว่าเธอคงจะไม่เอากุ้งอบวุ้นเส้นกับไปที่บ้านอย่างแน่นอนเนื่องจากว่าเอาไปก็คงไม่ได้กินเพราะรสชาติมันเค็มมากอย่างไรก็ตามอยู่ดีๆก็มีเจ้าของร้านซึ่งเป็นผู้ชายนั้นเดินมาที่โต๊ะของเธอแล้วก็บอกกับเธอและแฟนของเธอว่าให้กินฟรีแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นและไม่ต้องมากินที่นี่อีกทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจมากเพราะเธอเองก็ยินดีที่จะจ่ายเงินไม่ได้มาขอกินฟรีอยู่แล้วแล้วก็เกิดการทะเลาะกันเกิดขึ้น

และทางเจ้าของร้านนั้นก็ได้ทำการล้มโต๊ะที่เธอนั่งกินอยู่ทำให้เธอไม่พอใจจึงได้มีการมาโพสต์ข้อความนี้บอกให้เพื่อนในโลกออนไลน์ได้รับทราบอย่างไรก็ตามหลังจากที่มีข้อความนี้ใช้ออกมามีหลายกระแสที่ยังไม่ฟันธงว่าจะเป็นความผิดของเจ้าของร้านเพียงคนเดียวเท่านั้นเพราะมองว่าทางฝ่ายลูกค้าเองก็ค่อนข้างที่จะพูดจาไม่สุภาพ

ซึ่งน่าจะมีปัญหากันก่อนหน้านั้นที่ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพกันจนทำให้เจ้าของร้านนั้นเกิดอาการไม่พอใจถึงขนาดล้มโต๊ะโดยหลายคนมองว่าร้านค้าเก่าแก่มานานหลายปีหน้าจะมีการดูแลลูกค้าดีกว่านี้ถ้าหากไม่ขาดสติจริงๆก็คงจะไม่มีการล้มโต๊ะลูกค้าอย่างแน่นอนดังนั้นหลายคนจะมองว่าปล่อยลูกค้าอาจจะมีส่วนผิดด้วยกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ซึ่งหลายคนนั้นก็มีการขอดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการรวมตัวกันอีกทีแล้วค่อยมาฟันธงว่าสรุปแล้วใครผิดนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน ถูกกฎหมาย ใน ประเทศไทย

กดเงิน 3,000 และเงินออกมา 30,000 บาทประชาชนแห่กดกันเพียบ

ATM ธนาคารไทยพาณิชย์ที่จังหวัดระนองพบกดเงิน 3,000 และเงินออกมา 30,000 บาทประชาชนแห่กดกันเพียบ

           นึกว่าจะมีแค่เฉพาะในภาพยนตร์เท่านั้นที่ ATM เกิด Error ขึ้นเมื่อมีประชาชนนั้นไปกดเงินจำนวน 3,000 บาทแต่กลับพบว่ายอดเงินที่ออกมานั้นเป็นยอดถึง 30,000 บาทด้วยกันซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดโดยปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นที่สาขาระนองตรงถนนท่าเมืองเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ 14 เดือนมิถุนายนพ.ศ 2553 เมื่อมีประมวลดีคนหนึ่งได้มีการโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับปัญหาของตู้ ATM ของธนาคารไทยพาณิชย์เมื่อเขาพบว่าเราเข้าไปทำการกดเงินจากตู้ atm จำนวน 3,000 บาทแต่ว่ายอดเงินที่ออกมาให้เขานั้นเป็นยอดเงินถึง 30000 บาทเลยทีเดียว

ซึ่งยอดเงินที่ออกมานี้จากการตรวจสอบพบว่ามีการเริ่มจากตู้ atm จริงตั้งแต่ช่วงเวลากลางดึกของคืนวันที่ 13 เดือนมิถุนายนปีพศ2563 แล้วหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานงานไปยังธนาคารโดยมีการพูดคุยกับทางผู้จัดการสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ก็ได้มีการสั่งให้ระบบนั้นสั่งปิดการจ่ายเงินผ่านทางตู้ atm ดังกล่าวแล้ว

โดยทางธนาคารได้มีการร้องขอประสานงานผ่านทางสื่อมวลชนต่างๆว่าหากใครก็ตามที่มากดตู้ ATM ดังกล่าวแล้วเกิด Error ได้เงินไปเกินขอให้นำเงินเหล่านั้นกลับมาคืนด้วยเนื่องจากว่าตอนนี้ธนาคารได้มีการแจ้งความไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่ง ATM ที่พบปัญหานั้นพบว่าเป็น  ATM ของธนาคารไทยพาณิชย์โดยเป็นตู้ที่อยู่ตรงอาคารที่ทำการธนาคารซึ่งอยู่บริเวณชั้น 3 และยังมีอีก 2 ตู้ซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดของอาคารเดียวกันหลังจากที่มีคนกดเงินจาก ATM แล้วยอดเงินออกมาเกิดจากความเป็นจริงที่กดก็ทำให้มีการพูดกันปากต่อปากจนเป็นเหตุทำให้มีประชาชนเป็นจำนวนมาก

ไปยืนต่อแถวเพื่อรอที่จะกดเงินจากตู้ atm กันอย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีผู้เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมากโดยมีการระบุว่าบางคนกดออกมาแค่ 300 บาทแต่ยอดเงินก็จะได้ถึง 3,000 บาทซึ่งเหมือนกับว่าตู้นั้นให้ยอดเงินเบิ้ลและเท่าที่ประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นคาดว่าจะมีคนมากดเงินจากตู้ atm

ดังกล่าวและได้เงินไปเป็นจำนวนมากนั้นมีประมาณเกือบ 10 รายด้วยกันอย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ตู้เอทีเอ็มดังกล่าวได้ถูกสั่งระงับปิดบริการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังคงมีประชาชนพากันเดินทางมายังตู้ atm เพื่อต้องการที่จะลองดูซึ่งมีบางส่วนที่ใส่เสื้อคลุมปิดหน้าตาและมากดเงินที่ตู้ดังกล่าว ส่วนพลเมืองดีที่เป็นคนแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นได้มีการลงบันทึกประจำวันเอาไว้แล้วและเตรียมนำเงินที่จะไปทำการคืนกับทางธนาคารแล้ว จากการตรวจเบื้องต้นพบว่าตู้ ATM ระบบอ่านค่าตัวเลขขัดข้องทำการแก้ไขแล้ว

 

 

สนับสนุนโดย  sagame1688

หนูน้อยวัย 5 ขวบถูกตาวัย 43 ปีข่มขืน 

         เกิดเหตุน่าสลดใจขึ้นที่จังหวัดบุรีรัมย์เมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่านางสาวนภาพรเธออายุ 26 ปีได้เข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจแคนดงโดยข้อหาที่เธอแจ้งนั้นเธอได้นำลูกสาวของเธอวัย 5 ขวบเดินทางมาแจ้งความด้วยซึ่งเธอได้เข้าร้องเรียนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าน้องชายของแม่เธอชื่อว่านายมงคลอายุ 43 ปี

ซึ่งตามศักดิ์แล้วเขาจะมีศักดิ์เป็นคุณตาของลูกสาวเธอได้ทำการล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของเธอโดยเกิดเหตุนั้นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนปีพศ2563 และช่วงเวลาที่เกิดเหตุนั้นเป็นช่วงเวลา 11.00 น. ซึ่งหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้วก็มีการส่งเอกสารใบแจ้งให้นายมงคลทราบเกี่ยวกับเรื่องของได้รับการแจ้งความทางด้านนายมงคลเอง

จึงได้เดินทางมาที่สถานีตำรวจในวันที่ 10 เดือนมิถุนายนปีพศ2563 โดยนายมงคลนะเดินทางมาด้วยตนเองเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวและในที่สุดหลังจากที่พูดคุยกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วในวงคนก็รับสารภาพกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุตามที่นางสาวนภาพรแจ้งความจริงซึ่งในวันดังกล่าวนั้นตนเองไปกินเหล้าที่บ้านเพื่อนแล้ว

มีอาการเมาเมื่อกลับมาถึงบ้านเห็นว่าหลานสาววัย 5 ขวบกำลังวิ่งเล่นอยู่ที่หน้าบ้านตนเองนั้นด้วยอาการเมาจึงได้มีการชวนหลานเข้าไปเล่นในห้องหลังจากนั้นก็ลงมือข่มขืนหลานสาวของตนเองโดยทางนายมงคลนั้นยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะว่าตนเองนั้นเมาเหล้าไม่มีสติมากพออีกทั้งยังถูกภรรยาทิ้งไปมีกิ๊กทำให้ตนเอง

นั้นเสียใจและคิดมากซึ่งช่วงจังหวะที่เมานั้นอาจจะนึกถึงภรรยาด้วยจึงทำให้ได้ลงมือก่อเหตุกับหลานสาวโดยนายมงคลแจ้งว่าหลังจากที่มีการข่มขืนหลานสาวแล้วได้มีการปล่อยให้หลานสาวนั้นออกนอกห้องซึ่งตัวหลังเสาร์ได้วิ่งไปหาพี่สาวของนายมงคลซึ่งในตอนนั้นสภาพของหลานสาวนั้นมีร่องรอยการถูกข่มขืนและมีเลือดไหลออกมาจากอวัยวะเพศ

ทั้งยังบอกกับพี่สาวของนายมงคลด้วยว่านายมงคลเป็นคนทำทำให้พี่สาวของนายมงคลนั้นได้พาเด็กหญิงวัย 5 ขวบไปที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายหลังจากนั้นจึงแจ้งให้นางสาวนภาพรซึ่งเป็นแม่ของเด็กทราบและนำหลักฐานจากทางโรงพยาบาลมาแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับชัยมงคลซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมนายมงคลขังไว้ที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์และยังไม่มีญาติคนไหนมาทำเรื่องขอประกันตัวนายมงคลออกไปเลย

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เว็บพนัน

กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง

กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงสามารถโพสต์ Facebook ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้แต่ไม่อนุญาตให้มีคำเชิญชวน 

           จากกรณีที่ก่อนหน้านี้มีผู้ใช้ Facebook ซึ่งเป็นผู้ชายคนหนึ่งได้ออกมาโพสต์เรื่องราวของเขาว่าเขาถูกปรับเป็นเงิน 50,000 บาทจากการที่เขามีการโพสต์ Facebook ภาพที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และในภาพดังกล่าวนั้นมีการแสดงภาพมือจับแก้วเหล้าชนกันและยังเขียนเชิญชวนให้เพื่อนนั้นมากินเหล้าสังสรรค์กัน

ซึ่งหลังจากที่เขาโพสต์ภาพนี้ออกไปก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาหาเขาที่บ้านพร้อมกับนำตัวเขาไปทำการเสียค่าปรับที่สถานีตำรวจเป็นเงิน 50,000 บาทโดยบอกว่าเป็นค่าปรับที่เขามีการโพสต์ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงใน Facebook เขาจึงได้มีการแชร์เรื่องราวเหล่านี้ออกมาเพื่อให้หลายๆคนที่ยังไม่รู้ว่าไม่ให้แชร์ภาพเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

โดยห้ามแชร์ที่มีโลโก้ยี่ห้อของแอลกอฮอล์นั้นๆอย่างไรก็ตามจากที่มีการเผยแพร่ข่าวนี้ออกมาทางด้านกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าวว่าประชาชนสามารถที่จะมีการโพสต์ Facebook เกี่ยวกับเรื่องของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ปกติไม่มีผิดกฎหมายอย่างใดแต่ไม่อนุญาตให้มีการโพสต์ข้อความเชิญชวน

ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่มีข้อความเชิญชวนให้ไปถึงแอลกอฮอล์นั้นถือว่าผิดกฎหมายแตกต่างจากก่อนหน้านั้นเมื่อปีที่แล้วซึ่งมีข่าวครึกโครมใหญ่โตเกี่ยวกับเรื่องของเหล่าดารานักแสดงที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเชิญตัวไปที่สถานีตำรวจเพื่อถูกดำเนินคดีตามกฎหมายถูกปรับเงินเกี่ยวกับเรื่องของการที่มีการโพสต์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อหนึ่งลงใน Facebook ของตนเอง

ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อความเชิญชวนแต่ว่าถ้าเป็นกลุ่มบุคคลที่มีชื่อเสียงโพสต์ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมายดังนั้นการกระทรวงสาธารณสุขจึงได้แบ่งกรณีการโพสต์ภาพแอลกอฮอล์ใน Facebook ออกเป็น 2 กรณีนั่นก็คือถ้าคุณเป็นประชาชนทั่วไปสามารถโพสต์ภาพแอลกอฮอล์ได้แต่ไม่ให้โพสเชิญชวนให้ใครไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ซึ่งถ้ามีการโพสต์เชิญชวนเมื่อไหร่นะคุณผิดกฎหมายทันทีแต่ในขณะเดียวกันถ้าคุณเป็นดารานักแสดงหรือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไม่อนุญาตให้มีการโพสต์ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อใดๆทั้งสิ้นถึงแม้ว่าคุณจะโพสต์แค่ภาพอย่างเดียวแต่ไม่แสดงการเชิญชวนใดก็แล้วแต่ก็ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายเช่นเดียวกันดังนั้นโคตรการโพสต์ข้อความที่มีการแสดงเกี่ยวกับเรื่องของแอลกอฮอล์จึงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน

และสำหรับทดดังกล่าวนี้จะมีความผิดโดยสามารถสั่งจำคุกได้ไม่เกิน 1 ปีและถ้าคิดเป็นเงินปรับก็จะสามารถปรับได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งที่ผ่านมามีผู้กระทำผิดในการโพสต์เฟสบุ๊กเชิญเพื่อนไปดื่มแอลกอฮอล์ เยอะมาก จึงได้มาแจ้งออกสื่อให้ทราบโดยทั่วกัน

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เว็บพนันออนไลน์

น้องการ์ตูนเปิดใจดราม่าเป็นพยาบาลปลอม

         กำลังเป็นกระแสดราม่าในโลกออนไลน์และตามสื่อต่างๆอยู่ในขณะนี้เกี่ยวกับหญิงสาววัย 24 ปีที่ใช้ชื่อว่าน้องการ์ตูนซึ่งเธอเป็นที่โด่งดังใน Application tiktok เนื่องจากเธอนั้นจะใส่ชุดพยาบาลแล้วออกมาเล่นและมีคนเข้าไปคอมเม้นกันมากมายซึ่งมีคนหนึ่งซึ่งได้เห็นน้องการ์ตูนในชุดพยาบาลแล้วได้ออกมาเปิดเผยว่าแท้ที่จริงแล้วนั้นน้องการ์ตูนไม่ได้เป็นพยาบาลโดยเขามั่นใจว่าน้องการ์ตูนนั้นน่าจะไปยืมชุดของเพื่อนมาใส่

เนื่องจากว่าเธอเคยได้คุยกับน้องการ์ตูนเกี่ยวกับเรื่องของการเป็นพยาบาลโดยสอบถามเรื่องของน้องว่าจบมาจากที่ไหนตกรุ่นอะไรและตอนนี้ทำงานอยู่ที่ไหนซึ่งน้องการ์ตูนนั้นได้ออกมาให้ข้อมูลกับหญิงสาวคนดังกล่าวแต่เนื่องจากข้อมูลที่ให้มานั้นปรากฏว่าเมื่อเช็คไปแล้วไม่ตรงตามที่น้องการ์ตูนให้ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นอันทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าซึ่งเมื่อมีการเช็คไปแล้วก็ไม่พบว่าเธอทำงานอยู่ที่นั่นจริงรวมถึงเสื้อที่เธอใส่นั้นก็ไม่ใช่เสื้อของพยาบาลแต่เป็นเสื้อของผู้ช่วยพยาบาลและที่สำคัญเสื้อของผู้ช่วยพยาบาลนั้น

เป็นของอีกโรงพยาบาลหนึ่งที่ไม่ใช่โรงพยาบาลที่เธอบอกว่าเธอทำงานสนใจถามว่าจะจบพยาบาลจากที่ไหนรุ่นอะไรก็ให้ข้อมูลรุ่นมาแต่เมื่อเช็คไปแล้วปรากฏว่าไม่มีรายชื่อของเธอเรียนจบจากรุ่นนี้หลังจากที่มีคนนำข้อมูลนี้มาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ทำให้หลายคนนั้นต่างสนใจกันเป็นอย่างมากโดยเฉพาะคนที่เคยติดต่อกับน้องการ์ตูนและลูกน้องตระกูลนั้นหลอกให้คบหาและหลอกเอาเงิน เอาทองไปใช้

ซึ่งแน่นอนว่ามีหนุ่มๆหลายคนถูกน้องประตูหลอกกันเป็นจำนวนมากและล่าสุดนั้นน้องการ์ตูนได้มีการคบกับนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งถึงขนาดแต่งงานได้จดทะเบียนกันโดยมีรูปภาพเป็นภาพพรีเวดดิ้งของคนทั้งคู่นั้นโชว์ในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ทำให้หลายๆคนมองว่าน้องการ์ตูนอาจจะไปหลอกเงินตำรวจคนนี้ว่าเธอเป็นพยาบาลอย่างไรก็ตามหลังจากที่เรื่องราวของน้องการ์ตูนนั้น

โด่งดังไปทั่วประเทศทำให้เธอไม่ออกมาเปิดใจกับนักข่าวของสำนักข่าวช่อง 3 เธอจะต้องมีการเอาผิดกับคนที่นำเรื่องราวของเธอมาลงโดยให้ข้อมูลแบบผิดๆเลยเธอยืนยันกับความบริสุทธิ์ใจของเธอรวมถึงทั้งเธอบอกว่าเธอมีเอกสารที่ยืนยันได้ว่าตัวเธอนั้นประกอบวิชาชีพพยาบาลจริงๆแต่อย่างไรก็ตามเธอยังไม่สามารถออกมาเคยได้ว่าเธอทำงานที่ไหน

หรือจบจากที่ไหนอย่างไรเธอจะขอดำเนินคดีตามกฎหมายกับคนที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวของเธอซะก่อนอีกทั้งเธอยังมีการโพสต์คลิปบอกว่าคนในโลกออนไลน์ว่าชอบมาจับผิดเธอซึ่งหลายคนจำได้ว่าเธอนั้นเป็นอาชีพหมอนวดดังนั้นคงต้องมารอดูกันว่าจริงๆแล้วน้องการ์ตูนนั้นมีอาชีพหมอนวดจริงหรือไม่หรือจริงๆแล้วเธอเป็นพยาบาลแต่มีรับจ๊อบเสริมเป็นหมอนวดนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  bk8

สาววัย 40 ปีหายตัวปริศนา ไปสองเดือนตามหายังไม่พบตัว

มีเหตุการณ์ผู้หญิงคนนึงหาตัวออกจากห้องเช่าซึ่งเป็นการหายตัวปิดสนาโดยเธอหายตัวออกจากห้องเช่านั้นมานานเกิน 2 เดือนแล้วไม่มีใครที่จะสามารถติดต่อเธอได้เลย ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่าคุณน้ำฝน  นามสกุลอินทร์แป้น โดยคุณน้ำฝนนี้ทำงานเป็นพนักงานขายของอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นอยู่บริเวณแถวรามคำแหง เธอจึงได้มีการเช่าห้องเช่าอยู่ในซอยแถวรามคำแหงนั่นเอง

สิ่งที่ญาติของคุณน้ำฝนสงสัยคุณน้ำฝนหายตัวไปนานเกินครึ่งเดือนแล้วแต่สามีของคุณน้ำฝนนั้นเพิ่งไปทำการแจ้งความที่สถานีตำรวจ ว่าคุณน้ำฝนนั้นหายตัวออกไปจากห้องเช่า ซึ่งเบื้องต้นนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบมาว่าห้องเช่าที่คุณน้องฝนอยู่นั้นคุณน้องฝนอยู่กับแฟนหนุ่มของเขาซึ่งตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นคุณน้องฝนและแฟนหนุ่มมักจะทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เป็นประจำโดยอพาร์ทเม้นท์ที่คุณน้องฝนและแฟนหนุ่มเช่านั้นอยู่ในซอยรามคำแหง 39 และห้องที่คุณน้ำฝนเช่าอยู่นั้นจะอยู่ที่ชั้น 3 ซึ่งทางเจ้าของหอพักได้เล่าให้ฟังว่าคุณน้ำฝนและแฟนหนุ่มนั้น

อยู่ที่หอพักดังกล่าวมานานแล้วแต่ก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำจะสังเกตเห็นว่าคุณน้องฝนหายออกจากห้องเช่าไม่เคยเห็นเดินบริเวณหน้าห้องเช่าเลยมาเป็นระยะเวลานานแล้วซึ่งน่าจะหายตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคมแล้วแต่ก็ไม่เห็นแฟนของคุณน้ำฝนจะพูดว่าอะไรซึ่งหลังจากที่คุณน้ำฝนหายตัวไปประมาณครึ่งเดือนบ้านของคุณน้องฝนจึงมาย้ายออกจากห้องเช่าดังกล่าว ส่วนทางด้านย่อยของคุณน้ำฝนนั้นบอกว่าคุณฝนกับแฟนหนุ่มของเขานั้นคบหากันมานาน 25 ปีแล้วซึ่งทั้งคู่นั้นมีลูกด้วยกันอยู่ 3 คนโดยคุณน้องฝนนั้นมาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯกับแฟนทราบเรื่องมาจากญาติอีกคนนึง

ซึ่งทำงานอยู่ในกรุงเทพฯด้วยกันว่าไม่สามารถติดต่อคุณน้ำฝนได้ทุกคนก็เริ่มเป็นห่วงจึงได้พยายามตามหาไปตามสถานที่ต่างๆที่คิดว่าคุณน้ำฝนจะไปแต่ก็ไม่พบตัว จึงได้พากันไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยกันตามหา เนื่องจากว่าเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาทางญาติจึงไม่สามารถออกตามหาได้เพราะต้องเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดในขณะเดียวกันลูกของคุณน้ำฝนนั้นก็ยังรอแม่กลับมา

ซึ่งทุกวันนี้ลูกๆของคุณน้ำฝนก็ยังถามหาแม่อยู่ว่าแม่หายไปไหน อย่างไรก็ตามทางญาติเองทุกวันนี้ก็ยังตามหาตัวของคุณน้ำฝนอยู่เพื่อหวังจะให้คุณน้ำฝนกลับมาอยู่บ้านร่วมกันถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่สามารถติดต่อและไม่รู้ว่าคุณหายไปไหนก็ตามซึ่งทางญาติบอกว่าเคยสอบถามสามีของคุณน้ำฝนแล้วสามีของคุณน้องฝนก็ได้แต่บอกว่าหนหายตัวไปเมื่อประมาณวันที่ 16 มีนาคมแต่ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนซึ่งสามีของคุณน้ำฝนนั้นพูดจาวกวนในตอนนี้ทางญาติๆเองก็หวังเพียงให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยกันตามหาให้

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

คลิป หนุ่ม Grab ต่อสู้กับชายที่มีปืนด้วยมือเปล่า 

    เมื่อวันที่ 26 เดือนสิงหาคมปี พ.ศ. 2563 ช่วงเวลาประมาณ 12:12 น.ได้มีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้นที่ถนนแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรีซึ่งในคลิปจะเห็นได้ว่ามีรถกระบะคันหนึ่งขับมาหลังจากนั้นก็มีการเลี้ยวแบบกะทันหันทำให้มีการวิ่งตัดหน้ารถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังวิ่งมาพอดีซึ่งมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวนั้นเป็นมอเตอร์ไซค์ของพนักงาน Grab Bike

หลังจากที่รถมอเตอร์ไซค์ล้มพนักงานแจ็คและใช้ที่ขับรถกระบะก็ลงมาเจรจาตกลงกันแต่เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้นเมื่อชายที่ขับรถกระบะไม่พอใจอย่างมากเดินไปที่รถแล้วหยิบอาวุธปืนออกมาข่มขู่และทำร้ายร่างกายหนุ่ม grabbike ทำให้เจ้าตัวหนึ่งเก็บไว้เองก็ได้มีการต่อสู้กันซึ่งหลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปพนักงานที่ขับแกร็บไบค์ได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจ  รพ. ดอนหัวฬ่อจะแจ้งความดำเนินคดีกับชายที่ขับรถกระบะ

ซึ่งต่อมาใช้กับรถกระบะก็ได้เดินทางมาที่สถานีตำรวจเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาพร้อมกับยอมรับว่าตัวเองนั้นมีอารมณ์รุนแรงเกินไปเนื่องจากว่าก่อนหน้านั้นกำลังเพราะอยู่กับแฟนสาวบนรถกระบะเมื่อมาเจอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทำให้รู้สึกผิวขาดจึงได้นำอาวุธออกไปซึ่งในตอนแรกนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับทางชายหนุ่มคนที่ขับรถกระบะ

เนื่องจากขับรถโดยประมาทและยังมีการพบอาวุธปืนออกมาในที่สาธารณะด้วยแต่ในขณะเดียวกันไม่คืนนี้หลุดออกมาทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะต้องมีการเรียกตัวพนักงานการไปเข้ามาเพิ่มเพื่อมาทำการสอบปากคำเพิ่มเติมว่าที่จริงแล้วทั้งคู่ร่วมกันทะเลาะวิวาทหรือไม่แต่อย่างไรก็ดีพนักงานขับ Grab Bike ยืนยันว่าตนเองนั้น

ไม่ได้ตั้งใจที่จะมีเรื่องทะเลาะกับหนุ่มขับรถกระบะได้อย่างไรแต่ที่ต้องต่อสู้พวกนั้นกระบังกันตัวนั้นเองซึ่งหนุ่มเก็บไว้ยังได้มีการนำแผลที่มีรอยแตกจากการถูกด้ามปืนและมีการไปเย็บเรียบร้อยแล้วที่โรงพยาบาลมาโชว์ให้กับชาวโซเชียลได้ดูกันอีกด้วยยังไงก็ดีตอนนี้เรื่องราวค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องใหญ่โตเนื่องจากว่ามีนักข่าวนำเรื่องนี้มาเสนอข่าวโดยมีการเผยแพร่ข่าวออกมาเมื่อวันที่ 28 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะต้องมีการเรียกทั้งสองฝ่ายมาสอบปากคำเพิ่มเติม

    แล้วเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่เกิดการทะเลาะวิวาทกันรุนแรงมากแค่ไหนก็ไม่ควรที่จะนำอาวุธปืนออกมาข่มขู่กันถ้าเกิดว่าทะเลาะกันจึงไม่สามารถควบคุมตนเองได้ก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิตกันได้จากการที่แต่ละคนต่างก็มีอารมณ์ร้อนด้วยกันทั้งคู่

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  สูตร sagame

ตำรวจตามตัวฆาตกรโหดยิงน้องชายตัวเองเสียชีวิต 2 ศพ

ตำรวจตามตัวฆาตกรโหดยิงน้องชายตัวเองเสียชีวิต 2 ศพหน้าบ้านสาเหตุเพราะแย่งมรดกกัน

            หน้าที่ตำรวจ  สน. เขตมีนบุรีได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีคนก่อเหตุยิงกันที่น่าพักด้านหลัง 1 เลยเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงก็พบว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 รายการต่อมาชื่อว่านายศรายุทธและนายวีระชัยซึ่งทั้ง 2 คนนั้นเป็นพี่น้องกันและโทรอาวุธปืนชนิดเดียวกันยิงบริเวณศีรษะทำให้เสียชีวิตคาที่ทั้งคู่จากการสอบถามผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้มีการเล่าว่าคนที่ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้

คือพี่ชายแท้ๆของทนายศรายุทธกับนายวีระชัยเองซึ่งครอบครัวนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คนปัญหาที่พบก็คือเกิดการแย่งที่ดินมรดกกันเนื่องจากว่าก่อนที่พ่อกับแม่จะเสียชีวิตที่มีการแบ่งที่ดินเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วทุกคนเท่าๆกันแต่พี่ชายคนโตก็คือผู้ก่อเหตุนั้นอยากจะได้ที่ดินมากกว่าน้องจึงได้เกิดปัญหาทะเลาะกับพี่น้องคนอื่นมา

โดยตลอดในวันที่เกิดเหตุก็ยังเกิดเหตุการณ์ทะเลาะกันเกิดขึ้นในเรื่องปัญหาที่ดินและเรื่องรถกระบะที่เป็นมรดกกองกลางที่ทุกคนสามารถผลัดเปลี่ยนกันนำไปขับได้ หลังจากที่เจอหน้ากันก็เกิดการทะเลาะกันอีกครั้งหนึ่งและในที่สุดพี่ชายคนโตก็ทำการนำปืนที่พกมายิงน้องทั้งสองคนเสียชีวิตหลังจากนั้นก็ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการติดตามตัวมาดำเนินคดี

          สำหรับปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของมรดกที่ทำให้พี่น้องทะเลาะกันนั้นมีขึ้นบ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นครอบครัวขนาดเล็กหรือแม้แต่ครอบครัวขนาดใหญ่อย่างกลุ่มพวกมหาเศรษฐีก็ตามเรามักจะเห็นว่ายิ่งมีเงินทองมากเยอะแค่ไหนก็จะยิ่งทำให้คนเกิดความโลภมากขึ้นเท่านั้นซึ่งที่จริงแล้วพ่อแม่ก็แบ่งให้ตามสมควรแล้วหากเพียงพอกับการสิ่งที่พ่อแม่แบ่งให้ก็จะไม่เกิดปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นและปัญหาส่วนใหญ่นั่นก็คือไม่พอใจกับสิ่งที่ตนเองได้รับและโลภมากอยากจะได้มากกว่าคนอื่น

จึงนำมาซึ่งความเดือดร้อนและการทะเลาะกันและไม่สามารถตกลงกันได้ส่วนใหญ่ก็จะฆ่ากันเพียงเพราะเรื่องแค่มรดกเท่านั้นโดยไม่คำนึงถึงไงว่าสุดท้ายแล้วเมื่อคุณฆ่าคนอื่นตายหมดถึงแม้มรดกจะตกเป็นของคุณเองนั้นแต่คุณก็ไม่ได้ใช้มรดกนั้นเนื่องจากคุณต้องชดใช้กรรมอยู่ในคุกนั่นเอง  เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันหากผู้ก่อเหตุนั้นไม่โลภมากเพียงพอกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่และสิ่งที่ตัวเองได้รับจากพ่อแม่นั้นก็จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเพราะท้ายที่สุดแล้วต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวยังไงเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถจับกุมตัวได้อยู่ดีแล้วก็ต้องไปอยู่ในคุกแทนที่จะได้ใช้เงินมรดกนั่นเอง

           

 

สนับสนุนโดย  sagame666